KEY
POINTS
Hybrid Working คือ รูปแบบการทำงานที่พนักงานสามารถเลือกทำงานได้ทั้งจากออฟฟิศ บ้าน (work from home) หรือจากที่ไหนก็ได้(work from anywhere) ซึ่งเคยเป็นความฝันของพนักงานออฟฟิศทั่วโลกในช่วงการระบาดของโควิด-19 กำลังจะกลายเป็นอดีต หลังจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ทั้งอเมซอน, วอลมาร์ท, เจพีมอร์แกน เชส และบริษัทชั้นนำอื่นๆ เริ่มใช้นโยบายเรียกพนักงานกลับเข้าสำนักงานอย่างเข้มงวดมากขึ้น
ล่าสุดเมื่อต้นเดือนมกราคม 2568 เจพีมอร์แกน เชส ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้ออกบันทึกภายในแจ้งพนักงานที่ทำงานแบบไฮบริดให้กลับมาทำงานที่สำนักงาน 5 วันต่อสัปดาห์ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป โดยระบุว่า
"ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะกำหนดแนวทางการทำงานที่สำนักงานแบบเต็มเวลา เราคิดว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการบริหารบริษัท"
เจมี่ ไดมอน ประธานและซีอีโอของเจพีมอร์แกน เชส เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนการกลับมาทำงานที่สำนักงานที่ส่งเสียงดังที่สุด โดยเขามองว่าการทำงานระยะไกลเป็นอุปสรรคต่อ "การสร้างไอเดียแบบฉับพลัน" และไม่เอื้อต่อการบริหารทีมอย่างมีประสิทธิภาพ ไดมอนถึงกับแสดงความประหลาดใจเมื่อเห็นอาคารของรัฐบาลในวอชิงตัน ดี.ซี. หลายแห่งยังคงถูกใช้งานไม่เต็มที่
เดวิด โซโลมอน ซีอีโอของโกลด์แมน แซคส์ ก็มีความเห็นในแนวทางเดียวกัน โดยมองว่าการทำงานระยะไกลเป็น "ความผิดปกติ" และการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโลกการเงินเท่านั้น
ผลสำรวจล่าสุดจาก KPMG ที่สำรวจซีอีโอกว่า 1,300 คน (400 คนจากสหรัฐฯ) ในตลาดและภาคอุตสาหกรรมสำคัญ 11 แห่ง พบว่าเกือบ 80% ของซีอีโอเชื่อว่าพนักงานที่ทำงานแบบไฮบริดจะกลับมาทำงานที่สำนักงานเต็มเวลาภายในปี 2570 เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าจากเพียง 34% เมื่อต้นปี 2566
พอล น็อปป์ ประธานและซีอีโอของ KPMG สหรัฐฯ มองว่า ความได้เปรียบของการทำงานในสำนักงาน คือ "พนักงานพัฒนาเร็วขึ้น เรียนรู้เร็วขึ้น ได้ทักษะใหม่ๆ เร็วขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์ด้วยตัวเอง หรือการเรียนรู้ด้วยตัวเอง หรือการมีที่ปรึกษาการพัฒนาด้วยตัวเอง"
น็อปป์ยังชี้ให้เห็นว่า "คนงานรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะต้องการทำงานจากสำนักงานมากกว่า" ความชอบนี้อาจมาจากคนรุ่นมิลเลนเนียลและเจน Z ที่ต้องการจุดมุ่งหมายและการเชื่อมต่อในงานของพวกเขามากขึ้น
ที่น่าสนใจคือ จากการสำรวจของ KPMG พบว่า 86% ของซีอีโอวางแผนที่จะให้รางวัลแก่พนักงานที่มาทำงานที่สำนักงานเป็นประจำด้วยงานที่ดี การขึ้นเงินเดือน หรือการเลื่อนตำแหน่ง สะท้อนให้เห็นว่าความใกล้ชิดในที่ทำงานสามารถให้ความได้เปรียบที่จับต้องได้
ในกรณีของเจพีมอร์แกน หลังจากมีการประกาศนโยบายใหม่ พนักงานหลายร้อยคนได้แสดงความไม่เห็นด้วยผ่านความคิดเห็นบนเว็บไซต์อินทราเน็ตของบริษัท โดยกล่าวถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางและดูแลเด็กที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพจิตและความเครียด
มาร์ก มา รองศาสตราจารย์ด้านบริหารธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก ได้วิจัยผลกระทบเมื่อบริษัทเทคโนโลยีและการเงินใน S&P 500 ยกเลิกการทำงานระยะไกล พบว่าบริษัทเหล่านี้มีอัตราการลาออกสูงหลังจากบังคับให้กลับมาทำงานที่สำนักงาน โดยเฉพาะในกลุ่มพนักงานหญิงซึ่งมักมีภาระดูแลบุตร และผู้บริหารระดับสูง
ชาวอน เทอร์เรลล์-แคมเปอร์ นักบำบัดและโค้ชด้านสุขภาพจิต อธิบายว่า "ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนได้ปรับชีวิตของพวกเขา พวกเขาค้นพบว่าสามารถดูแลครอบครัวไปพร้อมกับทำงานได้ เมื่อคุณได้ลิ้มรสการทำงานจากบ้านแล้ว มันยากที่จะเห็นชีวิตของคุณกลับไปสู่สิ่งที่อาจไม่ยั่งยืนตั้งแต่แรก"
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้พนักงานพยายามหาทางประนีประนอม เช่น ขอปรับเวลาทำงาน การปรับลดเงินเดือนเพื่อแลกกับการเข้าออฟฟิศ เพื่อให้พนักงานมีเวลากับครอบครัวมากขึ้น
นายจ้างเองก็สามารถช่วยให้การเปลี่ยนผ่านราบรื่นขึ้นได้ เช่น การจัดกิจกรรมสร้างความสามัคคี เปิดโอกาสให้พนักงานแบ่งปันประสบการณ์และวิธีการปรับตัว รวมถึงการมีโครงการช่วยเหลือพนักงานที่มีภาระดูแลครอบครัว
เดโบราห์ แอนน์ เดสนู ผู้กำกับวิดีโอและเจ้าของบริษัทผลิตวิดีโอในโชฟุ ประเทศญี่ปุ่น มองว่าการพบปะกันแบบเผชิญหน้ามีข้อดีที่ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยการประชุมออนไลน์ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ถูกครอบงำโดยผู้ชาย การได้พบปะพูดคุยโดยตรงช่วยให้เธอสามารถ "อ่านบรรยากาศ" และหาทางแก้ปัญหาได้ดีกว่า ต่างจากการประชุมผ่าน Zoom ที่หากถูกเพิกเฉย ก็แทบไม่มีทางแก้ไข
นอกจากนี้ การทำงานในสำนักงานยังช่วยส่งเสริมมิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมงาน ผ่านกิจกรรมง่ายๆ เช่น การดื่มกาแฟด้วยกัน หรือการลองร้านอาหารกลางวันใหม่ๆ การสนทนาแบบเผชิญหน้ายังสามารถจุดประกายความคิดที่อาจไม่เกิดขึ้นเมื่อทำงานที่บ้าน
ในกรณีของเจพีมอร์แกน แม้จะมีนโยบายเข้มงวดในการเรียกพนักงานกลับสำนักงาน แต่ก็พยายามช่วยให้การเปลี่ยนผ่านราบรื่นที่สุด โดยแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน และเปิดโอกาสให้พนักงานขออนุมัติเวลาเพิ่มในการเตรียมตัวหากจำเป็น
ธนาคารยังยืนยันว่า "สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการสนับสนุนความยืดหยุ่นในที่ทำงาน ซึ่งเรามุ่งมั่นที่จะจัดหาให้ในทุกระดับอย่างเป็นธรรม" พร้อมทั้งจัดทำคำถามที่พบบ่อยเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อยกเว้นพิเศษสำหรับการทำงานทางไกล ความยืดหยุ่นด้วยเหตุผลส่วนตัว และแนวทางการบันทึกการเข้างาน
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะมีแนวโน้มชัดเจนในการกลับสู่การทำงานในสำนักงาน แต่ทั้งนายจ้างและลูกจ้างต่างต้องปรับตัวและหาจุดสมดุลที่เหมาะสม เพื่อรักษาทั้งประสิทธิภาพในการทำงานและคุณภาพชีวิตของพนักงาน โดยเฉพาะในยุคที่เส้นแบ่งระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวไม่ได้ชัดเจนเหมือนในอดีตอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ด้วยแนวโน้มที่ชัดเจนว่าบริษัทส่วนใหญ่กำลังมุ่งกลับสู่การทำงานในสำนักงาน พนักงานจำเป็นต้องเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาต่อรองเพื่อขอความยืดหยุ่น การมองหางานใหม่ที่เอื้อต่อการทำงานระยะไกล หรือการปรับตัวเข้ากับวิถีการทำงานแบบเดิม เพราะดูเหมือนว่า "ยุคทองของการทำงานที่บ้าน" กำลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า
เรียบเรียงจาก: