นายอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เปิดเผยความคืบหน้าเหมืองแร่โพแทช ว่า หากการดำเนินงานของบริษัท ไทยคาลิ จำกัด และบริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นไปตามแผนการดำเนินงาน ปี 2571 ไทยจะสามารถผลิตปุ๋ยโพแทสเซียมจากแหล่งแร่โพแทชในประเทศได้เป็นครั้งแรก
โดยผู้ที่จะได้รับประโยชน์โดยตรง คือ เกษตรกรไทยทั้งประเทศที่จะได้ใช้ปุ๋ยโพแทสเซียมถูกลง 20% ยังมีค่าภาคหลวงแร่ที่ส่งเป็นรายได้แผ่นดิน และจัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อพัฒนาท้องถิ่น
นอกจากนี้ ยังมีกองทุนต่าง ๆ เงินค่าทดแทนตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องในวันที่ได้รับอนุญาตประทานบัตร ซึ่งบริษัทฯ ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด
สำหรับโครงการเหมืองแร่ของบริษัท ไทยคาลิ จำกัด ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองบัวตะเกียด ตำบลหนองไทร และตำบลโนนเมืองพัฒนา อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ได้รับประทานบัตรเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2558 มีอายุ 25 ปี ถึงวันที่ 6 กรกฎาคม 2583 แผนการผลิต 100,000 ตันต่อปี ปริมาณการผลิตรวมตลอดอายุโครงการ 2.15 ล้านตัน
โดยที่ผ่านมาได้มีการก่อสร้างอุโมงค์เข้าสู่ชั้นแร่ เป็นอุโมงค์แนวเอียงจำนวน 1 อุโมงค์ และอุโมงค์แนวดิ่งจำนวน 1 อุโมงค์ แต่ประสบปัญหาเทคนิคการป้องกันน้ำใต้ดินในอุโมงค์แนวเอียง บริษัทฯ จึงได้ขออนุญาตเปลี่ยนแปลงแผนผังโครงการเพื่อก่อสร้างอุโมงค์แนวดิ่งใหม่ จำนวน 3 อุโมงค์ ซึ่งได้รับอนุญาตแล้ว
ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ คาดว่าจะสามารถเริ่มผลิตปุ๋ยโพแทสเซียมได้ในปี 2571 สำหรับอุโมงค์ที่เกิดปัญหาน้ำรั่ว กพร. ได้มีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่า เสถียรภาพภายนอกและภายในของอุโมงค์มีความมั่นคงแข็งแรง ปัจจุบันไม่พบการรั่วซึมหรือรั่วไหลของน้ำบริเวณผนังอุโมงค์
ส่วนโครงการเหมืองแร่ของบริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองไผ่ ตำบลโนนสูง และตำบลหนองขอนกว้าง อำเภอเมืองอุดรธานี ตำบลนาม่วง และตำบลห้วยสามพาด อำเภอประจักษ์ศิลปาคม จังหวัดอุดรธานี ได้รับประทานบัตรเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2565 มีอายุ 25 ปี ถึงวันที่ 22 กันยายน 2590 แผนการผลิต 2,000,000 ตันต่อปี ปริมาณการผลิตรวมตลอดอายุโครงการ 33.67 ล้านตัน
อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ได้แจ้งเตรียมการเพื่อทำเหมืองตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2566 และจะขนเครื่องจักรเข้าดำเนินการก่อสร้าง เช่น กำแพงรั้วกั้นแนวเขตโครงการประมาณ 1,600 ไร่ และก่อสร้างโรงแต่งแร่ ตามแผนที่เสนอภายใน 3 ปี คาดว่าจะสามารถเริ่มผลิตปุ๋ยโพแทสเซียมได้ในปี 2571
ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมที่เป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญของโลก โดยมีสัดส่วนประชากรในภาคการเกษตรเกือบ 40% ของประชากรทั้งหมด และมีพื้นที่สำหรับการเกษตรกรรมหนึ่งในสามของประเทศ ทำให้ไทยต้องนำเข้าปุ๋ยเคมีจากต่างประเทศกว่า 5 ล้านตันต่อปี คิดเป็นมูลค่า 65,000 ล้านบาทต่อปี
เป็นการนำเข้าปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์ (KCL) และปุ๋ยโพแทสเซียมซัลเฟต (K2SO4) ประมาณ 1 ล้านตันต่อปี คิดเป็นมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี แหล่งนำเข้าปุ๋ยโพแทสเซียมที่สำคัญของไทย ได้แก่ แคนาดา รัสเซีย เบลารุส และเยอรมนี โดยราคาขายปลีกในประเทศอยู่ที่ประมาณ 10,000 บาทต่อตัน
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ส่งผลให้ราคาปุ๋ยโพแทชในช่วงนั้นเพิ่มสูงขึ้น 2-3 เท่า โดยราคาในบางช่วงเวลาพุ่งสูงขึ้นถึง 20,000-30,000 บาทต่อตัน ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของเกษตรกรไทย คิดเป็นต้นทุนที่เกษตรกรไทยต้องแบกรับภาระเพิ่มสูงถึง 10,000-15,000 ล้านบาทต่อปี
“ไทยเป็นประเทศที่มีทรัพยากรแร่ โดยเฉพาะแร่โพแทชที่สามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยโพแทสเซียม (K) หนึ่งในธาตุอาหารหลักของพืชผลทางการเกษตรที่ยังไม่มีสารอื่นมาทดแทนได้ จากการสำรวจของกรมทรัพยากรธรณีพบแร่โพแทชซึ่งเกิดร่วมกับเกลือหินในพื้นที่ 2 แอ่ง คือ แอ่งโคราช และแอ่งสกลนคร ซึ่งอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ โดยคาดว่ามีปริมาณสำรองแร่โพแทชในทางธรณีวิทยา (Geological Reserve) ประมาณ 400,000 ล้านตัน ซึ่งมีปริมาณมากเป็นลำดับต้นของโลก”
อย่างไรก็ตาม แผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570) ได้กำหนดแนวทางให้มีการส่งเสริมการผลิตแร่โพแทชให้เพียงพอกับความต้องการของประเทศ รวมทั้งผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางและเป็นผู้นำในการผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ปุ๋ยจากแร่โพแทชสำหรับภูมิภาคเอเชีย
แต่โครงการเหมืองแร่โพแทชเป็นโครงการเหมืองแร่ใต้ดินที่มีมูลค่าการลงทุนสูง มีกระบวนการและขั้นตอนเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน มีมาตรการและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ผู้ขอประทานบัตรเหมืองแร่โพแทชต้องดำเนินการเพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั้งต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งผลักดันโครงการทำเหมืองแร่โพแทชเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยโพแทสเซียมอย่างต่อเนื่อง โครงการทำเหมืองแร่โพแทชที่มีความคืบหน้าและมีศักยภาพที่คาดว่าจะสามารถนำปุ๋ยโพแทสเซียมขึ้นมาได้ในช่วงระยะเวลา 3 -4 ปี นี้
นายอดิทัต กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา กพร. ได้กำกับดูแลโครงการเหมืองแร่โพแทชซึ่งเป็นการทำเหมืองใต้ดินให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎ ระเบียบ เงื่อนไขและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวดตามมาตรฐานสากล เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั้งต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียเข้ามามีส่วนร่วมในการกำกับดูแลและตรวจสอบการทำเหมืองร่วมกับหน่วยงานภาครัฐด้วย
นอกจากมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว กพร. ได้มีนโยบายให้ผู้ถือประทานบัตรจัดทำข้อมูลฐานเปรียบเทียบ (Baseline data) สำหรับใช้ในการวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงและผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการทำเหมือง เพื่อใช้ในการตรวจสอบและกำกับดูแล
รวมถึงใช้เป็นข้อมูลในการชี้แจงต่อสังคมได้อย่างชัดเจน และที่สำคัญโครงการเหมืองแร่โพแทชจะต้องจัดทำการประกันภัยเพื่อเป็นหลักประกันหากเกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินจากการทำเหมืองในเขตพื้นที่ประทานบัตร พร้อมทั้งต้องจัดตั้งกองทุนประกันความเสียหายความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อดำเนินการเยียวยาให้กับผู้มีส่วนได้เสียทันที เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมอยู่คู่กับสังคม ชุมชน อย่างเป็นมิตร ยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อภาคอุตสาหกรรมเหมืองแร่ต่อไป