ทั่วโลกหวาดผวา ภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ลงนามในบันทึกสั่งการให้ทีมงานเดินหน้าเก็บ “ภาษีเท่าเทียม” โดยให้เริ่มคำนวณอัตราภาษีให้เท่ากับที่ประเทศอื่นเก็บ และตอบโต้มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีกับทุกประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่า จะแล้วเสร็จภายในวันที่ 1 เมษายน 2568 นี้ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ยืนยันว่า "หมดยุคที่อเมริกาจะถูกเอาเปรียบแล้ว"
สำหรับประเทศไทยเอง ก็หนาว ๆ ร้อน ๆ ไม่แพ้กัน เพราะถ้าพิจารณาข้อมูลทางด้านการค้าล่าสุด นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ ระบุกับฐานเศรษฐกิจ ว่า หากสหรัฐเก็บภาษีนำเข้ากับประเทศไทยที่เก็บภาษีสูงกว่าสหรัฐฯ สินค้าที่จะรับผลกระหนักจะเป็นสินค้าที่เกินดุลมาอย่างต่อเนื่องหลายปี ซึ่งมีอยู่ประมาณ 29 กลุ่มสินค้าด้วยกัน
นอกจากมุมด้านการค้า หากลงมุมด้านการลงทุนก็ยังต้องเกาะติดสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพราะที่ผ่านมานักลงทุนสหรัฐ ก็ถือเป้นหนึ่งชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยในสัดส่วนไม่น้อยเมื่อเทียบกับชาติอื่น ๆ
ข้อมูลของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) รายงานว่า ปัจจุบันมีนักลงทุนสัญชาติอเมริกา เข้ามาลงทุนในไทย โดยมีจำนวนโรงงานที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมสูงสุดเป็นอันดับที่ 4 (ร้อยละ 5.8) รองจากญี่ปุ่น (ร้อยละ 25.5) จีน (ร้อยละ 15.3) และสิงคโปร์ (ร้อยละ 9.3) ตามลำดับ โดยมีมูลค่าการลงทุนเกือบ 200,000 ล้านบาท และจ้างแรงงาน 17,628 คน
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยกับฐานเศรษฐกิจว่า การลงทุนของนักลงทุนสัญชาติอเมริกาในนิคมอุตสาหกรรมนั้น ในภาพรวมมีทั้งหมด 119 โรงงาน คิดเป็นเงินลงทุนกว่า 199,245 ล้านบาท และมีจำนวนบุคลากรรวมกันมากถึง 17,628 คน แยกเป็นกิจการต่าง ๆ ดังนี้